เห็นภาพถ่ายสวยๆ ที่เค้าถ่ายกันที่แพต่างๆ
ในเขื่อนเชี่ยวหลานแล้วใจสั่น
ลองคิดภาพดูซิ นั่งเหม่อริมแพ ดูน้ำสีเขียว
ตัดกับฟ้าสีฟ้าแจ่มจ้า มันคงจะฟินน่าดูเลย
แต่ถ้ามัวแต่มานั่งนึกภาพ
แล้วเมื่อไหร่จะฟินหล่ะคะ??
อย่ามัวรอช้า เก็บเสื้อผ้า >> มุ่งหน้าลงสุราษฎร์
>> ไปเขื่อนเชี่ยวหลานกันเลยจ้า
เขื่อนเชี่ยวหลาน อยู่ในอุทยานแห่งชาติเขาสก ค่ะ
โดยชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า ที่นี่เดิมชื่อว่า เขาศพ เพราะมีภูเขาลูกนึง ทอดตัวยาวคล้ายศพคนนอน อยู่กลางเขื่อนนี้เลย แต่คำว่า เขาศพนี้ มันดูไม่เป็นมงคลเท่าไหร่
เค้าก็เลยเปลี่ยนชื่อให้เป็น เขาสก แทน ส่วนคำว่า เชี่ยวหลาน
ก็เป็นชื่อเดิมของเขื่อน โดยต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น เขื่อนรัชประภา
แต่ก็นะ
เราเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ก็คุ้นกับชื่อ เชี่ยวหลาน มากกว่า และที่แน่ๆ ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็น
กุ้ยหลินเมืองไทย ค่ะ เพราะที่นี่ หมอกจัดหนัก จัดเต็ม ลอยละล่องแซมไปกับเทือกเขาหินปูนที่สวยสดงดงาม
แปลกตา เหมาะแก่การมาพักผ่อนเพื่อชาร์ตแบตชีวิตของตัวเองมากๆ ค่ะ
ทริปนี้เรานั่งรถตู้เข้าถึงสันเขื่อนเชี่ยวหลานเลย
แวะถ่ายรูปหมอกยามเช้าบ้างประปราย นี่ขนาดเราไปถึงตอน 8 เกือบ 9 โมงแล้วนะ
หมอกยังหนาอยู่เลย รถราตรงสันเขื่อนก็ไม่ค่อยจะมีวิ่งกันนัก
เพราะยังเช้าอยู่ก็นั่นแหละค่ะ เกลือกกลิ้งแถๆๆ ถ่ายรูปกันเป็นนานสองนาน จนพอใจ
จากนั้นก็ตรงเข้าไปที่ท่าเรือเข้าเขื่อนกัน
ก่อนไป เราต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเข้าชมเขื่อนก่อนค่ะ คนละ 40 บาท
จากนั้นก็ทยอยกันลงเรือเร็ว ประมาณ 15-20 คนต่อลำค่ะ
แล้วก็นั่งเรือมุ่งหน้าเข้าเขื่อนกันเลยจ้า
ตรูดชาค่ะ บอกเลย!! นั่งหน้าสั่น ตัวชื้นจากละอองน้ำไปประมาณ 45
นาทีค่ะ ตอนนั่งไป ไม่มีปัญหานะ พอคนขับเรือดับเครื่องให้ถ่ายรูปเท่านั้นแหละ
พี่นี่เริ่มเมาเรือเลยครับ!!!
เราเข้าพักที่แพนางไพรค่ะ .... เรียบง่าย สงบ แต่ไม่ร่มเย็น 5555
เพราะที่นี่น้ำไฟเข้าถึงแบบจำกัดจำเขี่ยค่ะ น้ำมีแต่จะไหลมั้ย อันนี้ไปลุ้นกัน 555
ส่วนไฟ มีเครื่องปั่นไฟค่ะ แต่จะปั่นตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึง 6 โมงเช้า และถึงมีไฟ
ก็ใช่ว่าจะทำอะไรได้ เพราะทั้งแพมีจุดชาร์ตแบตอยู่จุดเดียว ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
ผู้คนจากทั้งแพต่างก็มายืนออรอชาร์ตแบตกันตรงจุดนี้ทั้งนั้น
ที่พักเราเป็นบ้านพักหลังเล็กๆ ทำจากไม้ไผ่ ไม่มีอุปกรณ์ยังชีพอะไรใดๆ
ให้เลย มีแต่ที่นอน (เป็นพระคุณอย่างสูงงงงง) กับหมอน อ้ออ มีหลอดไฟให้ด้วยนะ 2 หลอด
ข้างในบ้านกับข้างนอกบ้าน แล้วก็มีหน้าต่างไว้รับลม
ซึ่งก็ไม่ได้มีลมพัดเข้ามาเลยจ้า ....
ไปช่วงเข้าหน้าฝนก็งี้แหละ ลมไม่มี
ฝนไม่ตกเลย ...เด่วๆๆ ใช่หรอ ... แต่ใช่ค่ะ เพราะเราไปไม่เจอฝนเลย ส่วนใหญ่ภาคใต้
ฝนจะตกช่วงหน้าหนาวค่ะ แล้วคือไร เราไปช่วงหน้าฝน ... งานนี้ต้องมีซ่อมค่ะ!!!
เก็บของเข้าที่พักเสร็จ ก็ออกมาขึ้นเรือไป ถ้ำปะการัง กันค่ะ
ขาไปนั่งเรือประมาณ 30 นาที ไปขึ้นที่ฝั่งทางขึ้นถ้ำ แล้วเดินเท้าต่อค่ะ อีกประมาณ
7-800 เมตร ...
แต่ขอโทษ เป็น 7-800 เมตร
ที่เป็นทางชัน ทางเละ ทางลื่น และทางแฉะ ตลอดทางเลยค่า!!!
เดินไปก็ลื่นพรื่ดๆๆ
อ้อ! ที่นี่เค้ามีร้านค้าเปิดด้วยนะคะ เป็นร้านของชำเล็กๆ มีน้ำ มีขนม
และก็มีจุดที่วางไม้ท่อนยาวๆ ทิ้งไว้หลายอันเลยหล่ะ ตอนแรกก็งงนะ ว่า เอ?
เค้าเอาไม้มาทำอะไร วางไว้ตั้งหลายอัน ถามคนนำเที่ยว เค้าก็ไม่บอก
แต่เค้าแนะนำแค่ว่า ให้ถือติดขึ้นไปดีกว่าครับ เราก็เชื่อไง ถือติดมือมา 1 อัน
ตอนแรกก็ลากไม้เล่นแกร่กๆๆๆ พอหลังๆ ทางเริ่มชัน และเริ่มลื่น
ก็ได้ไอ้ไม้อันนี้แหละ เอามาเป็น ไม้ค้ำยัน 55555 ยังไม่แก่เลย
แต่ก็ต้องพึ่งไม้เท้าซะแล้ว 5555
ยิ่งตรงไหนที่ทางลื่นๆ นะ
พี่นี่อยากจะขอยื้มไม้ของเพื่อนมาไถลลื่นปรื้ดๆ เป็นสกีกันเลยทีเดียว .....
ผ่านมาแล้วไง เลยพูดเป็นเรื่องตลกได้ เพราะเอาเข้าจริงๆ เดินขาแข็ง
เกร็งตลอดทางเลย เพราะทางลื่น แบบไม่มีไหล่ทาง ขืนลื่นปุ๊ป ตกเขานะจ้า 55555
เดินบนทางลื่นๆ ไปประมาณ 7-800 เมตร ก็มาถึงท่าแพค่ะ
จับกลุ่มเข้าคิวลงแพไม้ไผ่กันต่ออีกประมาณ 10 นาทีค่ะ ก็ถึง ถ้ำปะการัง แล้ววว
ดูทางขึ้นซิค๊า คุณผู้โช้มมมมม ปีนราวกันขึ้นไปค่ะ
ผ่านในถ้ำ ที่เค้าบอกว่า เป็น ถ้ำปะการัง จริงๆ ก็คือ
ถ้ำที่มีหินงอกหินย้อย นั่นเองค่า
แต่ลักษณะการงอกการย้อยของหินจะคล้ายกับประการังที่อยู่ในน้ำเลย
จนเป็นที่มาของชื่อถ้ำนั่นเองค่ะ
มัคคุเทศน์น้อยของเราเล่าว่า ถ้ำนี้ถูกพบเมื่อปี
2545 ที่ผ่านมานี่เองค่ะ ยังเป็นถ้ำใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากนัก
ในถ้ำจะแคบๆ
ค่ะ มีทางเดินเล็กๆ ไม่ค่อยลึกมาก ประมาณ 1-200 เมตรเอง
(อันนี้เราคำนวนจากการที่เราเดินเองนะ จริงๆ อาจจะมากกว่านี้ก็ได้) มีหินงอกหินย้อยแปลกตามากมาย
ทั้ง หินรูปช้าง หินรูปนกฮูก หินรูปผ้าม่าน หินหัวใจ และอื่นๆ อีกเยอะแยะเลย
แต่เราถ่ายรูปมาแค่นี้แหละ เพราะไหนจะเดิน ไหนจะส่องไฟ จะหยิบกล้องมาถ่ายบ่อยๆ
ก็ลำแบ๊กก ลำแบก 5555 .... ทางที่ดี แนะนำว่า ไปดูให้เห็นเองดีกว่าค่ะ ^__^
ออกจากถ้ำประการัง ก็กลับทางเดิมค่ะ ไต่ราวลงมา ขึ้นแพไม้ไผ่ 10 นาที
เดินกลับไอ้ทางเละๆ แฉะๆ ลื่นๆ ทางเดิมอีก 7-800 เมตร
แล้วก็กลับมาลงเรือเพื่อกลับไปยังที่พัก นั่งกลับอีก 30 นาที ... #นั่งวนไปค่ะ
กลับถึงที่พัก เราก็มาโดดน้ำตู้มต้าม ... มีพายเรือคายัคด้วยน้า
น้ำที่นี่ลึกมากกกกก ทางที่พักระบุไว้เลยว่า ขอความร่วมมือในการใส่ชูชีพทุกคน
ไม่ว่าจะว่ายน้ำเป็นหรือไม่เป็นก็ตาม เพื่อความปลอดภัยค่ะ!!! และด้วยความว่า
น้ำที่ว่ายเล่นอยู่นั้นเป็นน้ำจืด ซึ่งก็คือน้ำที่เราจะใช้อาบน้ำ แหะๆๆๆ
เราก็เลยอาบน้ำตรงนั้นเลย 5555 ได้ฟีลเหมือนอาบน้ำข้างคลองมากๆ ค่ะ
แต่เป็นคลองที่กว้างใหญ่ สุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว
ตัดภาพมาที่อาหารเย็นเลยนะคะ ทางที่พักจัดอาหารเย็นให้เราแบบเซ็ทใหญ่
เรียบง่าย แต่อร่อยเวอร์!! มีปลาแรดตัวโตทอดกระเทียม แกงส้มปลากดหน่อไม้ดอง
ผัดผัก ไข่เจียว และผลไม้รวม ... ทุกอย่างเติมได้ไม่อั้น ยกเว้นปลาทอดที่มีโควต้าโต๊ะละ
1 ตัวเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหา จานอื่นเติมได้ เติมมาค่ะ!!! ใช้พลังงานเยอะ
ต้องชดเชยแยะๆ
ไม่มีรูปถ่ายอาหารให้ดูนะคะ เพราะหิวจัด ลืมบูชาอาหารก่อนกิน!!
เข้านอนพักผ่อน แล้วก็ตื่นเช้ามาดู เขาสามเกลอ กันตอนเช้าค่ะ
เอกลักษณ์ จุด Check Point ของที่นี่
ใครมาแล้วไม่ได้ถ่ายรูป
นี่ถือว่ามาไม่ถึงกันเลยทีเดียว
ว่าแล้ว เราจะพลาดหรือคะ?? จัดไปค่า
โบกมือบ๊ายบายเชี่ยวหลานแค่วันนี้ ...
แต่ยังไงต้องมีซ้ำครั้งหน้าแน่นอนค่ะ ^__^